iPad Air 5 vs iPad Air 4 เปรียบเทียบชัด มีอะไรน่าสนใจ แล้วซื้อรุ่นไหนดีกว่า?
แต้มเอง
URL Copied
เมื่อหลายวันที่ผ่านมา ผมเองก็พึ่งได้ตกใจเมื่อได้เห็นการเปิดตัวสินค้าใหม่ของ Apple ในงาน Apple Event: Peek performace มีสินค้าที่น่าสนใจอยู่ 3 อย่าง นั้นคือ iPhoneSE iPad Air และ Mac Studio ซึ่งผมขอยอมรับในฐานะของสาวก Apple ครับว่า ผมตื่นเต้นมากๆ กับสินค้าและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เปิดตัวมา แต่ในบทความของ TamKung วันนี้เราจะมาเริ่มพูดถึงสินค้าอย่าง iPad Air 5 vs iPad Air 4 รุ่นไหนดียังไง และควรซื้อไหม เรามาดูกันเลย
ก่อนอื่นต้องอธิบายถึงข้อมูลทางเทคนิคแบบคร่าวๆ ของ iPad Air 5 กันก่อน โดยรุ่นนี้ถือว่ามีการปรับปรุงรายละเอียดที่ค่อนข้างมากนะครับ
ในส่วนของพอร์ตการเชื่อมต่อจากเดิมที่รุ่นเก่าใช้คือพอร์ต USB-C port รุ่นเก่า แต่ในครั้งนี้ทาง Apple ได้เคลมว่าการโอนถ่ายข้อมูลจะทำได้เร็วขึ้น 2 เท่าเลยละครับ
เมื่อหลายวันที่ผ่านมา ผมเองก็พึ่งได้ตกใจเมื่อได้เห็นการเปิดตัวสินค้าใหม่ของ Apple ในงาน Apple Event: Peek performace มีสินค้าที่น่าสนใจอยู่ 3 อย่าง นั้นคือ iPhoneSE iPad Air และ Mac Studio ซึ่งผมขอยอมรับในฐานะของสาวก Apple ครับว่า ผมตื่นเต้นมากๆ กับสินค้าและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เปิดตัวมา แต่ในบทความของ TamKung วันนี้เราจะมาเริ่มพูดถึงสินค้าอย่าง iPad Air 5 vs iPad Air 4 รุ่นไหนดียังไง และควรซื้อไหม เรามาดูกันเลย
ก่อนอื่นต้องอธิบายถึงข้อมูลทางเทคนิคแบบคร่าวๆ ของ iPad Air 5 กันก่อน โดยรุ่นนี้ถือว่ามีการปรับปรุงรายละเอียดที่ค่อนข้างมากนะครับ
เอาเป็นว่ามีการอัพเกรดจากรุ่น iPad Air 4 มาอยู่หลายจุดครับ โดยที่เราจะเริ่มเห็นได้ที่ในส่วนของชิปประมวลผล ที่รุ่นก่อนหน้านี้ ทาง Apple ยังคงใช้ชิปประมวลผลแบบ A14 Bionic ที่พัฒนาจาก Intel หรือแบบเดียวกันที่ใช้ใน iPhone แต่พอมารุ่นนี้อย่าง iPad Air 5 ก็ได้เปลี่ยนการใช้ชิปประมวลผลเป็น ชิป Apple M1 ซึ่งเป็นชิปประมวลผลที่ทาง Apple ได้พัฒนาขึ้นมาเอง ซึ่งส่วนใหญ่ที่ใช้ชิปตัวนี้ จะเป็นอุปกรณ์รุ่นใหญ่ๆ อย่าง iPad Pro หรือบน Macbook Air เลยละครับ
สืบเนื่องมาจากการใช้ชิป M1 ที่เอามาใส่ใน iPad Air ตัวนี้จะช่วยทำให้ตัว iPad มีขุมพลังอันมหาศาลในการประมวลผลต่างๆ ทั้งการทำกราฟิก หรือการเล่นเกมก็เต็มไปด้วยความลื่นไหลมากยิ่งขึ้น ทำงานได้เร็วมากยิ่งขึ้น เปรียบเสมือนเรามี iPad Pro มาใช้งานในราคาที่จับต้องได้
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของกล้องหน้ามีการอัพเกรดขึ้นด้วย จากรุ่นเดิมที่ใช้กล้องความละเอียดเพียง 7 ล้านพิกเซล ก็ได้เปลี่ยนมาใช้กล้องแบบ Ultra-Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่จะสามารถทำให้เก็บภาพได้กว้างมากยิ่งขึ้น แถมมาพร้อมความสามารถในการรองรับฟีเจอร์อย่าง Center-Stage ที่เป็นส่วนสำคัญในตอนประชุมผ่านโปรแกรมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Zoom หรือ Google Meet ก็จะสามารถทำให้กล้องจับภาพตัวเรา และแพนตามเราได้แบบอัตโนมัตินั้นเอง ซึ่งตัวเก่าจะทำไม่ได้
และการถ่ายวิดีโอนี้ รุ่นเก่าเองจะไม่ได้มีเรื่องของช่วงไดนามิกที่กว้างเท่ารุ่นใหม่ครับ ทำให้ iPad Air 5 นี้สามารถเก็บรายละเอียดของแสง สีได้มากกว่าในโหมดการถ่ายวิดีโอ ซึ่งมีอัตราความเร็วของเฟรมสูงสุด 30 fps
ในรุ่นของ Wi-Fi + Cellular นั้นจะมีความสามารถในการรองรับการเชื่อมต่อสัญญาณ 5G ได้ที่หลายๆ เครือข่ายกำลังจะเอามาใช้ในประเทศไทยของเรา เพื่อสัญญาณที่จะเชื่อมต่อได้เร็วและแรงมากยิ่งขึ้น โดยที่ในรุ่นก่อนหน้านี้จะรองรับได้ถึงเพียงแค่สัญญาณ 4G เท่านั้นครับ
ในส่วนของพอร์ตการเชื่อมต่อจากเดิมที่รุ่นเก่าใช้คือพอร์ต USB-C port รุ่นเก่า แต่ในครั้งนี้ทาง Apple ได้เคลมว่าการโอนถ่ายข้อมูลจะทำได้เร็วขึ้น 2 เท่าเลยละครับ
รองรับการใช้งานในอุปกรณ์อย่าง Apple Pencil รุ่นที่ 2 และ Smart Keyboard Folio ที่จะสามารถช่วยให้เรียน เขียน จดได้ง่ายและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นด้วยครับ ซึ่งอันนี้ผมอยากจะแนะนำว่า หากใครที่กำลังจะซื้อ ก็อยากให้ลองมองเป็นอีกหนึ่งตัวเลือก เพื่อซื้อเอาไปใช้งานควบคู่กันไป เพราะมันจะง่ายต่อการทำงาน พกเพียง iPad Air บางๆ ออกไปทำงานที่ไหนก็ได้ ซึ่งผมเองก็กำลังจะไปซื้อมาใช้กับ iPad ของผม ถ้าได้มาแล้ว เดี๋ยวจะเอามารีวิวให้ดูนะครับ
ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้หากเป็นผู้ใช้งานทั่วๆ ไป เอาไว้ดูหนัง ฟังเพลง ดู TrueID แล้วละก็อาจจะไม่ต้องสนใจในเรื่องของรายละเอียดยิบย่อยก็ได้ครับ รอฟังคำแนะนำกันดีกว่า ว่าเราควรซื้อรุ่นไหน และเพราะอะไร
หากคุณผู้อ่านต้องการ iPad Air ที่เน้นพกพาง่าย การเชื่อมต่อดีๆ ใช้สัญญาณ 5G และการประมวลผมที่เร็ว ผมก็อยากจะแนะนำให้เลือกเป็น iPad Air 5 (ชิป M1) รุ่น Wi-Fi + Cellular ไปเลยครับ เพราะอย่างที่บอกว่าหลายๆ ความสามารถมันก็มาพร้อมกับเทคโนโลยีในปัจจุบันและอนาคต
แต่ถ้าหากถามว่า แล้วรุ่น iPad Air 4 (ชิป A14 Bionic) ยังน่าซื้ออยู่หรือไม่ ก็ต้องบอกว่ามันก็ยังน่าใช้อยู่ครับ เพราะก็พึ่งออกมาได้ไม่กี่ปี แถมการใช้งานทั่วไปก็เหมือนกัน แต่แค่อาจจะช้าบ้างนิดหน่อย ถึงบอกว่าหากเอาใช้งานทั่วไปที่ไม่หนักมาก เอาไว้ดูหนัง ฟังเพลงผ่าน TrueID ก็ทำงานได้สบายๆ ครับ ถ้าว่ากันตามตรง มันก็ไม่ได้มีจุดที่ทำให้สังเกตเห็นถึงความแตกต่างมากครับ
ในส่วนของราคา iPad Air 5 (ชิป M1) ตามราคาของทาง Apple ก็ได้ให้ราคาที่ค่อนข้างดีครับ โดยในรุ่นของ Wi-Fi จะเริ่มต้นที่ 20,900 บาท และถ้าหากเลือกเป็นรุ่น Wi-Fi + Cellular จะเริ่มที่ราคา 25,900 บาทครับ แต่ถ้าหากต้องการซื้อ iPad Air 4 (ชิป A14 Bionic) เราจะไม่สามารถสั่งซื้อผ่านทางเว็บไซต์ Apple ได้โดยตรงผ่านแล้วครับ ต้องหาซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายต่างๆ
โดยท่านผู้อ่านสามารถซื้อ iPad Air 4 (ชิป A14 Bionic) ผ่านทาง TruemoveH ได้ โดยในรุ่นของ Wi-Fi จะเริ่มต้นที่ 19,900 บาท แต่หากเป็นราคาลูกค้าย้ายค่ายเบอร์เดิมจะอยู่ที่ 10,400 บาท และถ้าหากเลือกเป็นรุ่น Wi-Fi + Cellular จะเริ่มที่ราคา 24,900 บาทครับ แต่หากเป็นราคาลูกค้าย้ายค่ายเบอร์เดิมจะอยู่ที่ 15,900 บาท ยังไม่รวมที่ทาง TruemoveH มีโปรโมชั่นควบคู่กับซื้อแพ็กเกจอินเตอร์เน็ต ก็จะได้ส่วนลดเพิ่มไปอีก ก็ต้องลองดูข้อมูลเพิ่มเติมกันนะครับ
เป็นอย่างไรกันบ้างกับ iPad Air รุ่นใหม่นี้ มีอะไรที่ท่านผู้อ่านชอบหรือไม่ชอบกันบ้าง แต่ถึงยังไง ผมก็ยังแนะนำว่าหากจะซื้อ iPad Air ก็เลือกเป็นรุ่น iPad Air 5 (ชิป M1) เลยจะดีที่สุด เพราะว่าเราจะได้ใช้งานยาวๆ ไป อย่างน้อยก็อยู่ได้ประมาณ 3-4 ปีเลยละครับ หากคุณผู้อ่านมีความคิดเห็นอย่างไร ก็มาพิมพ์พูดคุยกันได้นะครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น